คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สัปดาห์ที่ 4

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 4
วันศุกร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2556
วิชา การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
เวลา 11.30 - 14.00 น.

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤


เนื้อหาที่เรียนรู้


6. เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ (Children with Behavoral and Emotional Disorders)

- เด็กที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินานๆไม่ได้
-เด็กที่มีการควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้
-วิตกกังวน หวาดกลัว
-หนีสังคม
-ก้าวร้าว
-ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย
 แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
          1. เด็กที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางอารมณ์
          2. เด็กที่ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้


การจะจัดว่าเด็กมีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบดังนี้
  •   สภาพแวดล้อม
  •   ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล

ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเด็ก
  •  ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ
  •  รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือครูไม่ได้
  • มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน
  • มีความคับข้องใจและมีความเก็บกดทางอารมณ์
  •  แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดหัว ปวดตามส่วนต้างๆของร่างกาย
  •  มีความหวาดกลัว
  •  เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก

เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders )

-เรียกย่อๆ ว่า ADHD                                       
- ซนอยู่ไม่นิ่ง ซนมากกว่าปกติเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
 - เด็กบางคนมีปัญหาเรื่องสมาธิบกพร่อง อาการหุนหันพลันแล่น ขาดความยับยั้งช่างใจ เด็กเหล่านี้ทางการแพทย์จะเรียกว่า (Attention Deficit Disorders หรือ ADD) 

ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ 
-อุจจาระ ปัสสาวะรดเสื้อผ้าหรือที่นอน
-ติดขวดนมหรือตุ๊กตาและของใช้ในวัยทารก
-ดูดนิ้ว กัดเล็บ
-เรียกร้องความสนใจ
-ฝันกลางวัน
-พูดเพ้อเจ้อ
-ขี้อิจฉา ริษยา ก้าวร้าว



 7. เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้  ( Children with Learning Disabilites )  (LD)

          เด็ก LD มี IQ เท่ากับเด็กปกติทั่วไป เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง เด็กมีปัญหาทางการใช้ภาษา หรือ พูด การเขียน ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน เด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการ หรือความบกพร่องทางร่างกาย

ลักษณะของเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้

            - มีปัญหาในทักษะคณิตศาสตร์

            - ปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้
            - เล่าเรื่อง/ลำดับเหตุการณ์ไม่ได้
            - มีปัญหาด้านการอ่าน เขียน




8. เด็กออทิสติก   (Autistic)


          เด็กออทิสติก หรือ ออทิสซึ่ม Autism เด็กที่มีความบกพร่องอย่างรุนแรงในการสื่อความหมายพฤติกรรม สังคม และ ความสามารถทางสติปัญญาในการรับรู้ เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต

ลักษณะของเด็กออทิสติก
            - อยู่ในโลกส่วนตัว
            - ไม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน
            - เคลื่อนไหวแบบเร็วๆ ยึดติดวัตถุ
            - ต่อต้าน หรือแสดงกิริอารมณ์รุนแรง และใช้เหตุผล




9. เด็กพิการซ้อน  ( Children with Multiple Handicaps )

          เด็กที่มีความบกพร่องที่มากกว่า 1 อย่าง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก เช่น เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด เด็กที่หูหนวกและตาบอด


กิจกรรม
-อาจารย์ให้ดูโทรทัศน์ครู ผลิบานผ่านมือครู  ตอน ห้องเรียนแรกของเด็กพิเศษ
-สรุปองค์ความรู้ทีได้รับจากการดูโทรทัศน์ครู       




   

วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สัปดาห์ที่ 3

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 3
วันศุกร์ ที่ 22 พฤศจิกายน 2556
วิชา การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
เวลา 11.30 - 14.00 น.

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

เนื้อหาที่เรียนรู้


4.เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ Children with physical and Health Impairment
-เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน
-อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป
-มีปัญหาทางระบบประสาท
-มีความลำบากในการเคลื่อนไหว

จำแนกได้เป็น
1.อาการบกพร่องทางร่างกาย
2.ความบกพร่องทางสุขภาพ

อาการบกพร่องทางร่างกาย

1.ซี.พี. Cerbral Palsy
  • การเป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ หรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนา ถูกทำลายก่อนคลอด ระหว่างคลอดหรือหลังคลอด
  • การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพีมีความบกพร่องที่เกิดจากด้านต่างๆ ของสมองแตกต่างกัน
อาการ
-อัมพาตเกร็งของแขนขาหรือครึ่งซีก (spastic)
-อัมพาตของลีลาการเคลื่อนไหวผิดปกติ (Atheloid)
-อัมพาตสูญเสียการทรงตัว (Ataxia)
-อัมพาตตึงแข็ง (Rigid)
-อัมพาตแบบผสม (Mixed)

2.กล้ามเนื้ออ่อนแรง Muscular Distrophy
  • เกิดจากเส้นประสาทสมองที่ควบคุม กล้ามเนื้อส่วนนั้นๆ เสื่อมสลายตัว
  • เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนอยู่กับที่
  • จะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม
3.โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ Orthopedic
  • ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (club foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อนเนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (spina Bifida)
  • ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ (infection) เช่น วัณโรค กระดูกหลังโก่ง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรัง มีหนองเศษกระดูกผุ
  • กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ
4.โปลิโอ Poliomyelitis
  • มีอาการกล้ามเนื้่อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา (ส่วนมากเป็นที่ขามากกว่าแขน)
  • ยืนไม่ได้ หรืออาจปรับสภาพให้ยืนด้วยได้อุปกรณ์เสริม
5.แขนขาด้วยแต่กำเนิด Limb Deficiency

6.โรคกระดูกอ่อน Osteogenesis Imperfeta

ความบกพร่องทางสุขภาพ

1.โรคลมชัก Epilepsy
เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องมาจากความผิดปกติลของระบบสมอง

     1.1. ลมบ้าหมู Granol Mal
เมื่อเกิดอาการชักจะทำให้หมดสติ และหมดความรู้สึก ในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก กัดลิ้น กัดฟัน

     1.2. การชักในช่วงเวลาสั้นๆ Petit Mal
-เป็นอาการชักชั่วระยะเวลาสั้นๆ 5-10 วินาที
-เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงักในท่าก่อนชัก
-เด็กจะนั่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย

     1.3. การชักแบบรุนแรง Grand Mal
-เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราว 2-5 นาที จะนอนหลับไปชั่วครู่

     1.4. อาการชักแบบ Partial Complex
-เกิดอาการเป็นระยะๆ
-กัดริมฝีปาก ไม่รู้สึกตัว ถูตามแขนขา เดินไปมา
-บางคนอาจเกิดความโกรธหรือโมโห หลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องการนอนพัก

     1.5. อาการไม่รู้สึกตัว Focal Partial
เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยไม่รู้ตัว เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก

2. โรคระบบทางเดินหายใจ

3.โรคเบาหวาน Diabetes mellitus

4.โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ Rheumatoid arthritis

5.โรคศีรษะโต Hydrocephalus

6.โรคหัวใจ Cardiac Conditions

7.โรคมะเร็ง Cancer

8.เลือดไหลไม่หยุด Hemophilia

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว
  • ท่าเดินคล้ายกรรไกร
  • เดินขากะเผลก หรืออีดอาดเชื่องช้า
  • ไอเสียงแห้งบ่อยๆ 
  • มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง
  • หน้าแดงง่าย มีสีเขียวจางบนแกล้ม ริมฝีปากหรือปลายนิ้ว
  • หกล้มบ่อยๆ
  • หิวและกระหายน้ำอย่างเกินกว่าเหตุ


5.เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา Children with Speech and Language Disorders

เด็กที่พูดไม่ชัด ออกเสียงผิดเพี้ยน อวัยวะที่ใช้ในการพูดไม่สามารถเป็นไปตามลำดับขั้น การใช้อวัยวะเพื่อการพูดไม่เป็นไปดังตั้งใจมีอากัปกิริยาที่ผิดปกติขณะพูด
1.ความผิดปกติด้านการออกเสียง
  • ออกเสียงผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐานของภาษาเดิม
  • เพิ่มหน่วยเสียงเข้าในคำโดยไม่จำเป็น
  • เอาเสียงหนึ่งมาแทนเสียงหนึ่ง เช่น กวาด เป็น ฝาด
2.ความผิดปกติด้านจังหวะเวลาของการพูด เช่น การพูดรัว พูดติดอ่าง

3.ความผิดปกติด้านเสียง
  • ระดังเสียง
  • ความดัง
  • คุณภาพของเสียง
4.ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมากจากพยาธิสภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่า Dysphasia หรือ aphasia

      4.1 Motor aphasia
            -เด็กเข้าใจคำถามหรือคำสั่ง แต่พูดไม่ได้ ออกเสียงลำบาก
            -พูดช้าๆ พอพูดตามได้บ้างเล็กน้อย บอกชื่อสิ่งของพอได้
            -พูดไม่ถูกไวยากรณ์
     4.2 Wernicke's aphasia
           -เด็กที่ไม่เข้าใจคำถามหรือคำสั่ง ได้ยินแต่ไม่เข้าใจความหมาย
           -ออกเสียงไม่ติดขัด แต่มักใช้คำผิดๆ หรือใช้คำอื่นซึงไม่มีความหมายมาแทน
     4.3 Conduction aphasia
           -เด็กที่ออกเสียงได้ไม่ติดขัด  เข้าใจคำถามดี แต่พูดตามหรือบอกสิ่งของไม่ได้ มักเกิดร่วมไปกับอัมพาตของร่างกายซีกขวา
      4.4 Nominal aphasia
            -เด็กที่ออกเสียงได้ เข้าใจคำถามดี พูดตามได้ แต่บอกชื่อวัตถุไม่ได้เพราะลืมชื่อ บางทีไม่เข้าใจความหมายของคำ มักเกิดร่วมไปกับ Gerstmann's syndrome
      4.5 Global aphasia
            -เด็กที่ไม่เข้าใจทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน
            -พูดไม่ได้เลย
      4.6 Sensory agraphia
            -เด็กที่เขียนเองไม่ได้ เขียนตอบคำถามหรือเขียนชื่อวัตถุก็ไม่ได้ มักเกิดร่วมกับ Gerstmann's syndrome
      4.7 Motor agraphia
            -เด็กที่ลอกตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ไม่ได้
            -เขียนตามคำบอกไม่ได้
       4.8 Cortical alexia
            -เด็กที่อ่านไม่ออก เพราะไม่เข้าใจภาษา
       4.9 Motor alexia
            -เด็กที่เห็นตัวหนังสือหรือตัวเขียน เข้าใจความหมายแต่อ่านออกเสียงไม่ได้
       4.10 Gerstmann's Syndrome
            -ไม่รู้ชื่อนิ้ว Finger agnosia
            -ไม่รู้ซ้ายขวา Allochiria
            -คำนวณไม่ได้ Acalculia
            -เขียนไม่ได้ Agraphia
            -อ่านไม่ออก Alexia
      4.11 Visual agnosia
            -เด็กที่มองเห็นวัตถุ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร บางทีบอกชื่อนิวตัวเองไม่ได้
      4.12 Auditory agnosia
            -เด็กที่ไม่มีความบกพร่องทางการได้ยินแต่แปลความหมายของคำหรือประโยคที่ได้ยินไม่เข้าใจ

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
  • ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบาๆ และอ่อนแรง
  • ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10 เดือน
  • ไม่พูดภายในอายุ 2 ขวบ
  • หลัง 3 ขวบ แล้วภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก
  • ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
  • หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถมศึกษา
  • มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก
  • ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย